ชายหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นผู้กำกับฯ ตั้งแต่วัยเด็ก เจ้าของผลงาน ‘ฉลาดเกมส์โกง’ หนังไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจนหลายคนแซวว่าคือหนังฮอลลีวู้ดปลอมตัวมา
หลังจากหนังเรื่อง “ฉลาดเกมส์โกง” เข้าฉายเมื่อปี 2560 ก็กลายเป็นหนังไทยเรื่องเยี่ยมแห่งปีที่ประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของคำวิจารณ์และรายได้ ทำให้ผู้กำกับฯ อย่าง “บาส - นัฐวุฒิ พูนพิริยะ” ก้าวไปยืนท่ามกลางแสงสปอตไลต์ราวกับว่าความหวังของหนังไทยนับจากนี้จะถูกฝากไว้ในมือเขา ความสำเร็จยังไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทย แต่ยังคว้ารางวัลจากเวทีระดับนานาชาติ และนับเป็นการเปิดประตูแห่งโอกาสครั้งสำคัญที่ผลักดันให้นัฐวุฒิได้ร่วมงานกับทีมงานระดับฮอลลีวูด ซึ่งขณะนี้มีอย่างน้อย 2 เรื่อง มีทั้งที่เขียนบทเสร็จไปแล้ว และเรื่องที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโพรเจกต์
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก เขาคลุกคลีกับการดูหนังโดยมักไปรื้อชั้นวิดีโอเพื่อหาหนังเก่า ๆยุค ’80s มาดู พอเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นก็เริ่มไปหาหนังที่นักวิจารณ์ยกย่องมาดู ความหลงใหลในโลกบนแผ่นฟิล์มภาพยนตร์ทำให้นัฐวุฒิมีความฝันอยากจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ จนได้มีโอกาสเดินเข้าสู่โลกอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และได้กำกับภาพยนตร์เต็มเรื่องแรก “Countdown” ภายใต้สังกัดค่ายหนัง GTH ในปี 2555 ทว่าการทำงานครั้งนั้นได้มอบบทเรียนสำคัญสำหรับการทำงานในวงการภาพยนตร์ของเขา…
เราอาจไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนบนโลกแฮปปี้ก็ได้ เราแค่ทำให้ทาร์เก็ตกรุ๊ปของเราได้เข้าใจและรู้สึกกับสิ่งที่เราทำ
“ผมค่อนข้างเป็นนักประดิษฐ์ที่เอาแต่ใจในระดับหนึ่ง เราคิดแค่ว่าเราชอบสิ่งนี้ เราอยากทำสิ่งนี้ เราอยากพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าทำแบบนี้มันก็ได้นะ แต่สุดท้าย ความเชื่อของเรามันอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุดเสมอไป.... เมื่อย้อนกลับมาดูมันมีสิ่งที่เราชอบนะ แต่ก็ทำให้เข้าใจว่าทำไมคนดูถึงไม่ค่อยอิน เพราะผมคิดว่าเป็นหนังที่ไม่มีจิตวิญญาณ เหมือนบ้านที่มีคอนกรีต ไม่มีทิศทางลม ไม่มีต้นไม้ ไม่มีช่องแสง มันแห้ง ๆ นั่นคือความรู้สึกที่ผมมีต่องานชิ้นแรก”
เมื่อ “Countdown” ออกฉาย ปรากฏว่ารายได้ไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ ทำให้ความฝันที่จะได้ทำหนังเรื่องที่ 2 ต่อกันของเขาถูกขุดหลุมฝังดิน ต้องเปลี่ยนตัวเองมาทำงานในวงการโฆษณาและกำกับมิวสิกวิดีโอ ซึ่งทำให้เขา
ค่อย ๆ เข้าใจว่า “เราอาจไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนบนโลกแฮปปี้ก็ได้ เราแค่ทำให้ทาร์เกตกรุ๊ปของเราได้เข้าใจและรู้สึกกับสิ่งที่เราทำ ขณะเดียวกันก็ต้องหามุมที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขกับสิ่งนั้นด้วยนะ การไปทำงานอย่างอื่นนอกจากการทำหนัง ทำให้เราเข้าใจทาร์เก็ตมากขึ้น เรียนรู้ที่จะเข้าหาคนและรู้จักสื่อสารมากขึ้น”
และเมื่อโอกาสครั้งใหม่ในการทำหนังเรื่อง “ฉลาดเกมส์โกง” มาถึง เขารู้แล้วว่าจะต้องเล่าเรื่องแบบไหนจึงจะได้ใจคน “มีจุดที่อยากจะทำหนังเรื่องนี้เป็นหนังเชิงสังคมที่พูดถึงเรื่องการศึกษา ซึ่งทางนายทุนเรียกผมไปคุย บอกว่าทำได้นะ แต่มันจะไม่ Success หากผมอยากทำสิ่งนี้จริง ๆ ก็ต้องแลกกันโดยที่ทุนสร้างหนังจะต้องถูกลง” สุดท้ายเขาจึงถามตัวเองว่า คาดหวังอะไรในการทำงานชิ้นนี้ ซึ่งก็จะกลับไปที่เรื่องเดิมคือ “การแก้ปม” ของตัวเองที่เคยทำให้หนังขาดทุน ดังนั้น ฉลาดเกมส์โกงจึงต้องเป็นหนังที่สร้างความสนุกและทำเงินด้วย “ถือเป็นการไถ่บาปประมาณหนึ่งครับ” ชายหนุ่มยิ้ม และบอกว่าหนังเรื่องที่ 2 นี้เป็นการพยายามพูดกับคนอื่น โดยที่ต้องพยายามจะเชื่อในสิ่งที่กำลังพูดมากที่สุด “ฉลาดเกมส์โกงอาจจะดูเป็นหนังวัยรุ่น แต่สำหรับผมไม่ใช่ เราต้องทำหนังเรื่องนี้ให้เหมือนหนังแอ็กชันที่ไม่ใช่แค่หนังเด็กลอกข้อสอบแต่มันคือการจารกรรมบางอย่าง การถ่ายทำและทุก ๆ อย่างจะเล่นใหญ่เกินกว่าชีวิตจริง ขยี้เข้าไปในความรู้สึกของตัวละครที่อยู่ในมิตินั้น ๆ ต้องย้อนกลับไปถามตัวเองว่าสมัยเป็นเด็กมัธยม เวลาลอกข้อสอบแล้วเรากลัวขนาดไหน”
ในฐานะคนหนุ่มที่ได้เดินตามความฝันของตัวเอง เขาบอกว่าไม่ใช่แค่เฉพาะการทำหนังเท่านั้น แต่สำหรับทุกการลงมือทำบนโลกใบนี้ เราจะต้องรู้จักตัวเองให้ได้ก่อนว่าตัวเองเป็นใคร ชอบอะไรและไม่ชอบอะไร อยากเข็นตัวเองให้มีโพสิชันแบบไหนในสังคม แต่ขณะเดียวกันก็ต้องหาจุดสมดุลในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้ได้ด้วย “ถ้ามัวแต่ทำอะไรที่เหมือนเดิมตลอดทั้งชีวิต…แล้วมันจะสนุกตรงไหน”
Cheating the Destiny: Finding a Director’s Identity
As a child, Nattawut Poonpiriya had dreamed of becoming a movie director, and eventually, he successfully made it with his masterpiece “Bad Genius.” The movie was released in 2017 and recognized as one of the most successful Thai films-not only among the Thais but also among the international audience. This great success put a spotlight on him and he was regarded by many as a representative for the future of the Thai movie industry. However, prior to his achievement and fame, Nattawut once failed. His film, “Countdown,” released in 2012, was not welcomed by critics and fans. Thanks to the failure, he turned to the advertisement and music video industry. The experience from working in the new areas taught him that he did not have to impresseveryone, but he had to know how to make his target audience understand what he was doing. When another movie directing opportunity was presented, he seized it, tried his best, and finally made it happen. Nattawut’s attitude towards his work is that, “we need to know who we really are, what we like or don’t like, and make new things. If we always do the same thing, how would our life be fun?”
Comments